#อ่านไปไม่มีหลง (ตอนที่ 2/2) แล้วเรา #ต้องทำฟิสิกส์เพิ่มอีกกี่คะแนน ถึงจะ “สอบติด” ตามเป้าหมายที่ต้องการ
ก็อยากให้น้องๆ ไปดูสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ของคะแนนที่เราต้องใช้ก่อน เช่นเราสอบได้ TGAT = 60 ; TPAT3 = 70
สมมติสัดส่วนคะแนนมันใช้
– TGAT 20%
– อีก 50% มาจาก A-LEVEL โดยแบ่งเป็น ฟิสิกส์ 20% เลข 20% และเคมี 10%
.
นั่นหมายความว่า “ครึ่งแรก” เราจะมีคะแนนในมือ
= 20%*(60) + 30*(70)
= 33 คะแนนรวม (จาก 100)
.
ดังนั้นถ้าเป้าหมายเรา อยากให้ได้คะแนนรวมทั้งหมดที่ 65
เราก็ต้องการอีก 65-33 = 32 คะแนนรวม
.
ไม่งงนะ
.
ซึ่งจากสถิติการทำข้อสอบเก่าย้อนหลัง ตอนทำข้อสอบเก่า (แบบจับเวลา) เรามักจะได้คะแนนประมาณนี้..
ฟิสิกส์ 60 เลข 50 เคมี 60
.
นั่นหมายความว่าฝีมือเรา ณ ปัจจุบัน น่าจะได้คะแนนที่ประมาณ 20%*(60) + 20%*(50) + 10%*(60) = 28
ตีความได้ง่ายๆ เลยว่า “มันไม่พอ”
ต้องการ 32 มีอยู่ 28
ต้องอัพขึ้นไปอีก 4 แต้ม
.
ทีนี้ ก็มาดูต่อว่าเราถนัดอะไร
อย่างฟิสิกส์ พอจะอัพตัวเองไปที่ 70 ได้ไหม
เลขสัก 60 ละกัน
ส่วนเคมีไม่ไหวละ 60 เท่าเดิม
.
แบบนี้จะได้ 32 แต้มพอดี
(เนี๊ยะแล้วก็ใส่ค่าเผื่อไปอีกหน่อยให้มันเซฟๆ)
.
จะเห็นว่าสิ่งที่ต้องทำคือการมองไปข้างหน้าจริงๆ แหละ ลองไปคิดดูว่าเราควรทำคะแนนในรายวิชาที่ยังเหลือสอบอยู่ไปที่เท่าไร
.
สิ่งที่เราทำอยู่เค้าเรียกว่า gap analysis ครับ ดูว่าเราอยู่ที่จุดไหน ดูว่าเป้าที่เราจะไปอยู่จุดไหน แล้วจะเห็นช่วงห่างที่เราต้องปิดช่องโหว่ตรงนี้ให้ได้ ซึ่ง #โค้งสุดท้ายแบบนี้ ก็หนีไม่พ้นการทำโจทย์ครับ ฝึกมันเข้าไปนะวัยรุ่น
.
พี่ฟาร์มหวังว่ามุมมองเหล่านี้จะช่วยให้น้องมองไปข้างหน้า หาสิ่งที่เราทำได้แล้วเกิดประโยชน์สูงสุดต่อช่วงเวลาที่แสนจำกัดนี้กันเถอะ
.
รู้ว่าเครียด รู้ว่ากดดัน แต่มากันขนาดนี้แล้ว อีกสองเดือนอ่ะ… สู้เขาสิวะอิหญิง สู้เขาสิผู้บ่าวทั้งหลาย
.
พี่ส่งกำลังใจให้นะครับ
พี่ฟาร์ม ;3
.